ทำไมคนเมืองหนาวคิดว่าตัวเองไม่ต้องอาบน้ำทุกวัน ?

การอาบน้ำบ่อย ๆ เป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่ ? ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า การอาบน้ำทุกวันเกิดขึ้นมาจาก "การตกลงร่วมกันของสงคม" หรือ "สัญญาประชาคม" มากกว่าความจำเป็น

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมเลิกอาบน้ำทุกวันด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งการทำงานจากที่บ้าน การย้ายไปอยู่กับคู่รักที่อาบน้ำน้อยกว่าผมแต่เนื้อตัวของเธอยังคงสะอาดอยู่ ประกอบกับความขี้เกียจของช่วงวัยกลางคนด้วย ตราบใดที่ผมไม่ได้ไปออกกำลังกาย ทุกวันนี้ผมอาบน้ำราว 3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อนบางคนของผมอาบน้ำน้อยกว่านั้น บางคนอาบแค่สัปดาห์ละครั้งในช่วงฤดูหนาว บางคนมีปัญหาด้านผิวหนัง ขณะที่บางคนแค่ไม่ชอบให้ผมเปียก แต่เพื่อนบางคนก็ไม่เห็นด้วยกับผม หรือถึงกับรังเกียจเลย

"เหมือนฉันตื่นนอนไม่เต็มตาถ้าไม่ได้อาบน้ำตอนเช้า" พวกเขากล่าว "ทุก ๆ วันต้องเริ่มต้นด้วยการอาบน้ำและดื่มกาแฟหนึ่งสักแก้ว" หรือ "ไม่มีทางที่ฉันจะนอนบนเตียง [โดยไม่ได้อาบน้ำ] หลังจากเดินทางมาทำงานในลอนดอน" และ "อาทิตย์ละ 3 ครั้งเหรอ? ยี้"

สำหรับพวกเราชาวอาบน้ำน้อยมักถูกมองด้วยความกังขาอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่แค่พวกฮิปปี้รักธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในเต็นท์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ใช้ติ๊กตอกที่อาบน้ำน้อย แม้กระทั่งคนดัง เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชาวอังกฤษ โจนาธาน รอส ตกเป็นข่าวใหญ่เนื่องจากบอกว่าบางครั้งเขาอาบน้ำน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง และในปี 2023 นักแสดงสาวอย่าง อเมริกา เฟอร์เรรา ทำให้เพื่อนร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องบาร์บี้ประหลาดใจด้วยการสารภาพว่าบางครั้งเธอก็เลือกจะไม่อาบน้ำ

ในปี 2021 นักแสดงอย่างแอชตัน คุชเชอร์ สร้างความหวาดผวาให้กับนักวิจารณ์ด้วยกิจวัตรการอาบน้ำแค่ "รักแร้และเป้าทุกวัน ส่วนอื่นไม่เคยอาบ" และเจค จิลเลนฮาล นักแสดงอีกคนบอกว่าเขาเชื่อว่า การอาบน้ำบางครั้งเป็นเรื่อง "ไม่ค่อยจำเป็น" (แต่ต่อมาก็อ้างว่าเขาแค่พูดติดตลก) เมื่อคนดังคนอื่น ๆ ออกมาเปิดเผยแนวคิดของพวกเขาต่อการอาบน้ำ ความไม่พอใจยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่ง เจสัน มาโมอา และ เดอะร็อค นักแสดงชื่อดังทั้งสองคนต้องออกมาชี้แจงว่าพวกเขาต่างก็อาบน้ำบ่อยมาก

แม้แพทย์ส่วนใหญ่จะเห็นตรงกันว่า การล้างมือบ่อย ๆ เป็นกุญแจสำคัญในการหยุดการแพร่กระจายเชื้อโรค แต่การอาบน้ำทุกวันไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายโดยตรง ในทางกลับกัน มันอาจส่งผลเสียต่อคุณได้ด้วยการทำให้ผิวแห้งและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าชาวอเมริกันและชาวอังกฤษกว่าครึ่งอาบน้ำทุกวัน ถึงเวลาลดความถี่ในการอาบน้ำแล้วหรือยัง

อย่างไรก็ตาม การหาคนไม่ค่อยอาบน้ำมาพูดคุยเพื่อเขียนข่าวไม่ใช่เรื่องง่าย ในปี 2015 นักเคมีที่ชื่อว่า เดวิด วิทล็อก กลายเป็นข่าวหลังประกาศว่าเขาไม่ได้อาบน้ำมา 12 ปีแล้ว เขาใช้วิธีการฉีดแบคทีเรียที่ดีใส่ตัวแทน และยังได้เริ่มต้นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อิงตามแนวคิดนี้อีกด้วย

ปีถัดมา แพทย์ที่ชื่อ เจมส์ แฮมบลิน เขียนเกี่ยวกับการที่เขาหยุดอาบน้ำเช่นกัน ในปี 2020 เมื่อหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า "ความสะอาด: วิทยาศาสตร์ผิวหนังยุคใหม่และความงดงามของการทำให้น้อยลง" ออกวางจำหน่าย เขาบอกกับบีบีซีว่า "ผมมีกลิ่นตัว และภรรยาผมบอกว่ามันเป็นกลิ่นที่ระบุตัวตนได้ แต่เธอก็ชอบ คนอื่น ๆ บอกว่ามันไม่ได้แย่" เมื่อฉันส่งอีเมลไปหาเขาเพื่อขอสัมภาษณ์ โดยบอกถึงนิสัยการอาบน้ำของตัวเองสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เขาก็บอกว่าเขาไม่ว่างคุย แต่เสริมว่า "บอกคนที่ล้อคุณว่าพวกเขากำลังทรยศต่อความรู้ด้านจุลินทรีย์บนผิวหนังอย่างรุนแรง แล้วเดินจากไป"

ในที่สุด ฉันก็เจอกับนักสิ่งแวดล้อม ดอนนาแชธ แม็คคาร์ธี "ผมไม่ได้อยู่คนเดียว [กับการไม่อาบน้ำทุกวัน]" เขาบอกฉัน "สิ่งที่ทำผมโดดเดี่ยวคือความกล้าหาญที่จะพูดถึงมัน"

เมื่อแปดปีที่แล้ว แม็คคาร์ธี เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ เกี่ยวกับการอาบน้ำของเขา (ในตอนนั้น) สัปดาห์ละครั้ง เสริมด้วยการล้างหน้าที่อ่างล้างหน้า การเปิดเผยตัวเองว่า การเป็นคนที่อาบน้ำไม่บ่อยนั้นน่ากลัว เขากล่าว เพราะเขารู้ว่าเขาจะโดนถล่มทับด้วยการดูถูกและเยาะเย้ย แต่หลังจากบทความนั้นเผยแพร่ ผู้คนก็กระซิบข้างหูเขาว่าพวกเขาก็ทำแบบเดียวกัน

แม็คคาร์ธี เคยเป็นนักบัลเลต์มืออาชีพที่มีนิสัยชอบการอาบน้ำเป็นปกติ จนกระทั่งได้รับบาดเจ็บ หลังจากใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่กับชาวพื้นเมืองยาโนมามิในป่าแอมะซอน เขาตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อสิ่งแวดล้อม เขาติดตั้งระบบเก็บน้ำฝนและเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ในบ้านที่กรุงลอนดอน เพื่อติดตามปริมาณน้ำที่เขาใช้

ตลอดปีต่อ ๆ มา เขาเริ่มอาบน้ำน้อยลงเรื่อย ๆ ปัจจุบัน อาจจะอาบแค่เดือนละครั้งเท่านั้น เขาใช้วิธีเช็ดตัวทุกวันโดยใช้ผ้าชุบน้ำที่อ่างล้างหน้าทำความสะอาดร่างกายทั้งหมด และใช้น้ำเพียงแค่ 1 แก้วสำหรับการโกนหนวด ไม่มีใครบ่นว่าเขามีกลิ่นตัวเลย

"ถ้าคุณไปตามตึกเก่า ๆ ในห้องนอน คุณจะเห็นโต๊ะไม้สวย ๆ ที่มีร่องสำหรับวางกะละมัง คนสมัยก่อนจะตักน้ำจากกะละมังเหล่านั้น และใช้ผ้าเช็ดหน้าสำหรับทำความสะอาดทั้งหน้าและตัว... แน่นอนว่า การมีน้ำไหลตลอดเวลามันเป็นข้อดีมหาศาล แต่ก็นำไปสู่การใช้น้ำเปลืองมากขึ้นด้วย"

การอาบน้ำเพื่อ "เอาหน้า"

ความหลงใหลในการชำระล้างร่างกายด้วยสบู่และน้ำทุกวันของเรานั้น กลับกลายเป็นประเด็นที่แวดวงวิชาการสนใจน้อยอย่างน่าประหลาด ถึงขนาดที่รายงานจากปี 2005 ยังคงเป็นบรรทัดฐานสำคัญในวงการวิจัยการอาบน้ำอยู่ในปัจจุบัน รายงานระบุว่า ในประเทศอังกฤษ การอาบน้ำวันละครั้งหรือบางครั้งอาจจะสองครั้งต่อวันเป็นเรื่องปกติ สำหรับหลายคน "มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ปกติมาก จนการอาบน้ำที่น้อยกว่าทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดทั้งทางสังคมและร่างกาย"

ศาสตราจารย์เดล เซาเทอร์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาการบริโภคประจำมหาวิทยาลัยบริสตอล เป็นหนึ่งในผู้เขียนร่วมรายงานฉบับนี้ เขากล่าวกับบีบีซีว่า "เราชำระร่างกายกันมากกว่าที่เคยทำในอดีตมาก" การเปลี่ยนแปลงนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา และไม่ได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า จริง ๆ มันดูเหมือนจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ

เดิมที คนเรามักทำความสะอาดร่างกายด้วยการอาบน้ำ วัฒนธรรมการอาบน้ำนั้นมีความหลากหลาย ตั้งแต่การแช่น้ำแร่เพื่อการบำบัดในเมืองสปา ไปจนถึงการแช่น้ำอุ่นผ่อนคลายแบบสมัยใหม่ พร้อมกับไวน์สักแก้ว ชาหรือกาแฟสักถ้วย และหนังสือสักเล่ม (การอาบน้ำแบบไหนที่ใช้น้ำน้อยกว่า ประหยัดกว่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า จะแบบฝักบัวหรือแบบแช่น้ำ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการอาบน้ำ ในขณะที่บางคนบอกว่าการอาบน้ำแบบฝักบัวสะอาดกว่าเพราะชะล้างสิ่งสกปรกออกไป แต่บางคนก็บอกว่าความแตกต่างนั้นน้อยเกินกว่าจะมีนัยสำคัญ)

ในช่วงทศวรรษ 1950 ศ.เซาเทอร์ตันเล่าว่า ชาวอังกฤษเริ่มมีน้ำประปาใช้ในห้องน้ำ ต่อมาไม่นานก็มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ตามมา นั่นคือ สายยางที่ต่อกับก๊อกน้ำ ด้านบนมีตะแกรงพลาสติกและหัวฝักบัว ปัจจุบัน บ้านหลายหลังถูกสร้างใหม่และหอพักนักศึกษาหลายแห่งได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว "ถ้าคุณมีฝักบัวแค่หนึ่งอันสำหรับครอบครัวห้าคน มันก็ทำให้ไม่อยากอาบน้ำบ่อย" ศ.เซาเทอร์ตันอธิบาย "แต่ถ้าคุณแค่ลุกจากเตียงแล้วเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำส่วนตัวของคุณเอง..." เพียงแค่มีฝักบัวให้ใช้อย่างสะดวก ซึ่งแต่เดิมถูกติดตั้งเพื่อให้อาบน้ำง่ายขึ้น ตอนนี้มันกลายเป็นเหตุผลที่เราอาบน้ำบ่อยขึ้น

ฝักบัวธรรมดานี้ยังมีความหมายใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 1900 ด้วย ธุรกิจโฆษณาที่เฟื่องฟูได้ผนวกสัญลักษณ์ใหม่เข้ากับห้องน้ำของเรา ศ.เซาเทอร์ตันกล่าวว่า ฝักบัวไม่ได้ถูกนำเสนอขายแค่ในฐานะเครื่องมือประหยัดเวลา แต่ยังช่วยให้สดชื่นด้วย โฆษณาฝักบัวในช่วงประมาณปี 1970 ประกอบด้วยภาพวาดง่าย ๆ ของอ่างอาบน้ำที่มีหัวฝักบัว แต่พอถึงช่วงทศวรรษ 1980 บ่อยครั้งที่ภาพโฆษณาจะเป็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังผ่อนคลายท่ามกลางไอน้ำ

การอาบน้ำด้วยการใช้ผักบัวกลายเป็นกิจกรรมพักผ่อน และยังช่วยให้เราเปลี่ยนโหมดด้วย เราสวมบทบาทต่าง ๆ มากมาย สลับไปมาระหว่าง พนักงานออฟฟิศ นักเทนนิส พ่อแม่ และเพื่อนที่ไปทานข้าวเย็น การอาบน้ำด้วยผักบัวเป็นกิจกรรมที่ทำเกิดจุดเปลี่ยน แลห้องอาบน้ำในลักษณะนี้ยังเป็นเหมือนประตูมิติที่เปลี่ยนเราจากตัวตนหนึ่งไปสู่อีกตัวตนหนึ่ง

"ถ้าคุณย้อนกลับไป 100 ปีที่แล้ว เราไม่ได้อาบน้ำทุกวัน เพราะฝักบัวไม่ใช่สิ่งของที่ทุกคนมี" ศาสตราจารย์ คริสเทน กรัม-ฮันส์เซน จากภาควิชาสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร มหาวิทยาลัยออลบอร์ก ประเทศเดนมาร์ก กล่าวกับฉัน "เราไม่ได้อาบน้ำเพื่อสุขภาพ เราอาบน้ำเพราะมันเป็นเรื่องปกติ"

เมื่อเราลองนึกถึงสภาพแวดล้อมอย่างเช่น การไปเดินป่าหรือเทศกาลดนตรี มุมมองทางสังคมของการอาบน้ำบ่อย ๆ ก็จะชัดเจนขึ้น เธอกล่าว ในสถานการณ์เหล่านั้น บรรทัดฐานที่แตกต่างกันก็มีผล และการอาบน้ำน้อยลงก็กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

อนาคตจะเป็นอย่างไร เราจะเลี่ยงการเข้าห้องอาบน้ำฝักบัวกันหมดในเร็ว ๆ นี้หรือไม่ ไม่น่าเป็นไปได้ เหล่าอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่เห็นแนวโน้มที่มีนัยสำคัญว่าผู้คนที่จะอาบน้ำน้อยลงด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม

"นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่ค่อย ๆ ทยอยเกิดขึ้นเรื่อง ๆ แล้วจากนั้นเราก็พูดกันว่า 'โอ้ นั่นเป็นความคิดที่แย่! หยุด[อาบน้ำ]กันเถอะ' " ศ.เซาเทอร์ตันกล่าว "คุณย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว บรรทัดฐานการอาบน้ำฝักบัวฝังรากลึกอยู่ในสังคมของเราแล้ว"

ดูเหมือนว่าการไม่อาบน้ำทุกวันของฉันจะยังคงเป็นที่สะดุดตาสำหรับบางคน ฉันรู้สึกดีขึ้นจากการพูดคุยกับแม็คคาร์ธี "ผมคิดว่าการอาบน้ำจำนวนมากเป็นแค่การกระทำเอาหน้า" เขากล่าว "ทำไมเราถึงต้องอาบน้ำ ? ส่วนใหญ่เพราะกลัวว่าคนอื่นจะบอกว่าเราเหม็น... ผมเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น และผมก็ยังมีชีวิตอยู่"

2024-04-26T07:16:05Z dg43tfdfdgfd