เปิดเทรนด์ตลาดความงามไทย มูลค่ากว่า 3.40 แสนล้าน

ตลาดความงามของประเทศไทยมูลค่ากว่า 3.40 แสนล้านบาท ในปี 2567 เป็นปีที่ผู้ประกอบการไทย ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือความไม่แน่นอนหลากหลายปัจจัย ทั้งในประเทศ ตั้งแต่กำลังซื้อและภาวะเศรษฐกิจ และต่างประเทศ ทั้งต้นทุนวัตถุดิบขึ้นราคา และสถานการณ์สงครามในโลก รวมถึงการแข่งขันในตลาดที่ทวีความรุนแรงในทุกปี

“เกศมณี เลิศกิจจา” นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย ฉายภาพอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยในปี 2567 เป็นอีกปีที่ตลาดรวมความงามของประเทศไทยจะต้องมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามากระทบต่อตลาดและผู้ประกอบการ ทั้งต้นทุนวัตถุดิบขึ้นแล้ว 30% ในบางรายการ และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมถึงกำลังซื้อในประเทศโดยเฉพาะตลาดกลางและล่างที่ยังไม่คึกคักมากนัก

ทั้งนี้จากปัจจัยทั้งหมด จึงประเมินภาพรวมตลาดความงามของประเทศไทยในปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่า 3.40 แสนล้านบาท ขยายตัว 9.5% ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยจากความไม่แน่นอนทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมแผนในการรับมือทั้ง การมุ่งรักษาคุณภาพของสินค้า การสร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่าง และเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ รวมถึงเน้นคำว่า เมดอินไทยแลนด์ แสดงอยู่ในโลโก้สินค้า เพื่อสร้างเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าในระยะยาว

พร้อมกับให้ความสนใจไปออกงานแสดงสินค้าต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในการพบคู่ค้าใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยภาพรวมในปัจจุบันสมาคมฯ มีผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกเครือข่ายประมาณ 1,000 ราย ส่วนผู้ประกอบการความงามและเครื่องสำอางทั่วประเทศมีจำนวนหลายหมื่นราย ตั้งแต่รายเล็กไปจนถึงรายใหญ่

 

อีกสิ่งสำคัญผู้ประกอบการต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง บิวตี้ เอไอ เข้ามาร่วมยกระดับผลิตภัณฑ์และการให้บริการ ร่วมสร้างความโดดเด่นให้แก่แบรนด์ เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีความต้องการ ผลิตภัณฑ์ความงาม ที่ออกแบบมาให้ใช้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยตลาดกลุ่มนี้มาแรงต่อเนื่องจากปีก่อน

หากประเมินตลาดที่มาแรงยังเป็น กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เจาะตลาดแมส เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องความคุ้มค่าและคุ้มราคา แต่ไม่ได้เน้นเฉพาะตลาดสินค้าราคาถูกอย่างเดียว คุณภาพต้องเป็นองค์ประกอบสำคัญ และผู้บริโภคก็มีความรู้มากขึ้นจากการค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายของผู้ประกอบการไทยจะต้องมุ่งมั่นหาโอกาสใหม่ๆ ในการรุกตลาด โดยเฉพาะช่องทางดิจิทัล ที่เป็นลู่ทางในการหาลูกค้าใหม่ๆ ได้ในทุกสถานการณ์ อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมา เกิดวิกฤตโควิด แต่ลูกค้าก็ปรับไปเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้เพิ่มขึ้น

สำหรับ เทรนด์ความงามที่มาแรงในปีนี้ที่มีทั้ง

  • กลุ่มผลิตภัณฑ์แอนตี้เอจจิ้ง ตามฐานสัดส่วนประชากรในไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและแต่งหน้า ที่มาจากสารสกัดจากธรรมชาติ และไม่ต้องมีส่วนผสมจำนวนมาก เพื่อให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่กลุ่มลูกค้า
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นการบำรุงจากภายในสู่ภายนอก ยกตัวอย่าง วิตามินต่างๆ ตามค่านิยมและไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบัน
  • กลุ่มเครื่องสำอาง และบำรุงผิว ที่ให้ความรู้สึกผิวดูมันวาวและฉ่ำน้ำตลอดเวลา
  • ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาร่วมพลิกโฉมตลาดตามเทรนด์ บิวตี้เอไอ

“ปัจจัยบวกในประเทศไทยกับการที่ภาครัฐได้ประกาศนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทให้แก่คนในประเทศ จะมีผลในช่วงไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ประเมินว่าไม่มีผลต่อตลาดความงามมากนัก เนื่องจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ อาจเลือกนำเงินนี้ส่วนไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นก่อน แต่ความงามอาจจะเป็นตัวเลือกถัดมา”

2024-05-04T04:16:05Z dg43tfdfdgfd